อุยกูร์ ชาติพันธุ์ในประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหมการกลืนกลาย และวาทกรรมการพัฒนา โดยจีน

“อุยกูร์” Uyghur – أویغور เป็นเชื้อสายหนึ่งในกลุ่มชนเตอร์กิก บรรพบุรุษได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาบริเวณ ที่เรียกว่า “เตอร์กิสถาน” ซึ่งปัจจุบนครอบคลมเอเชียกลางและภาคตะวันตกของจีน โดยพื้นที่ ในจีนนั้นถูกเรียกว่าซินเจียง สามารถอธิบายได้ว่า ซิน (新) หมายถึง ใหม่ และเจียง (疆) หมายถึง ดินแดน ซินเจียง (新疆) จึงมีความหมายว่าดินแดนใหม่ (ของจีน) ซึ่งมิใช่ชื่อดั้งเดิมของอาณาบริเวณที่ชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ และปัจจุบันมีฐานะเป็น “เขตปกครองตนเองกลุ่มชาติพันธุ์” หรือที่เรียกเป็นทางการว่า “เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์” (Xinjiang Uyghur Autonomous Region Bureau of Statistics)
.
หากย้อนกลับไปราวพันปีก่อน บริเวณนี้เป็นที่ตั้ง ของชุมชนโบราณที่นับถือพระพุทธศาสนา ทว่าในระยะต่อมาศาสนาอิสลามได้เข้ามาแทนที่จน กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมมุสลิมที่มีสุลต่านปกครอง เรียกว่า “เตอร์กิสถานตะวันออก” ด้วยชัยภูมิที่เป็นชุมทางเชื่อมต่อจีน เอเชียกลาง และเอเชียใต้ ส่งผลให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองบนเส้นทางสายไหม
.
ซินเจียงมีเมืองคัชการ์ เป็นเมืองโอเอซิสแห่งหนึ่งในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศจีน ใกล้พรมแดนประเทศอัฟกานิสถาน คีร์กีซสถาน ปากีสถาน และทาจิกิสถาน มีประชากรกว่า 500,000 ฅน ในอดีตถือเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งบนเส้นทางสายไหม ที่เชื่อมจีนกับตะวันออกกลางและยุโรปตั้งแต่สองพันปีก่อน เมืองคัชการ์ เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ระยะต่อมาราวศตวรรษที่ 16 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งมีนโยบายให้ชาวอุยกูร์ปกครองกันเอง และมีอิสระในการนับถือศาสนา
.
อย่างไรก็ตามในช่วงเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์หมิงสู่ราชวงศ์ชิง ราชสำนักกลับใช้นโยบายส่งขุนนาง ไปปกครองเพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ก่อให้เกิดช่องว่างและผลกระทบมาโดยตลอด สืบเนื่อง ไปจนถึงกรณีที่จีนมีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ระบอบสาธารณรัฐ ใน ปี พ.ศ.2454(ค.ศ.1911) และเปลี่ยนจากระบอบสาธารณรัฐ สู่ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ.2492(ค.ศ.1949) ที่ต้องประสบกับปัญหาการเมืองภายใน ทำให้พรรคชาตินิยมจีน (ก๊กมินตั๋ง) ซึ่งมีอำนาจปกครองจีน ขณะนั้นไม่สามารถควบคุมหัวเมืองต่างๆ ได้ อีกทั้งเกิดขบวนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้จีนอยู ่ในภาวะสงครามกลางเมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2470(ค.ศ.1927) เป็นผลให้รัฐบาลทปักกิ่งไม่สู้ใส่ใจในการควบคุมซินเจียง
.
จนกระทั่งกลุ่มชาวมุสลิม คือ ชาวคาซัค อุยกูร์ และมองโกล ก่อการจลาจล ขึ้น สามารถยึดดินแดนในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของซินเจียงได้สำเร็จ พร้อมทั้งสถาปนา “สาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามและสหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีคัชการ์เป็นศูนย์กลาง จากเหตุการณ์นั้น ทำให้รัฐบาลจีนภายใต้การนำ ของเจียงไคเช็คเกิดความไม่พอใจ จึงได้ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทหาร ส่งผลให้เกิดการปะทะกัน อย่างรุนแรง ในปี พ.ศ.2487(ค.ศ.1944)
.
ต่อมาภายหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะต่อพรรคชาตินิยมจีน และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น ในปี พ.ศ.2492(ค.ศ.1949) ทางการจีนจึงได้จับกุมขบวนการเอกราชเตอร์กิสถานตะวันออก ทำลายศาสนสถานของชาวอุยกูร์ เผาตำราประวัติศาสตร์ ห้ามประกอบกิจกรรมทางศาสนา สังหารผู้ประท้วง เปลี่ยนมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ทำให้ความเกลียดชังของชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมอื่นที่มีต่อรัฐบาลจีนมีมากขึ้น เกิดขบวนการติดอาวุธ และส่งผลให้เกิด ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
.

อุยกูร์ ถูกนโยบายกลืนกลายชาติ และคุมความคิดด้วยวาทกรรมการพัฒนา โดยจีน

ภายหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนของพรรคคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ.2492(ค.ศ.1949) รัฐบาลจีนเริ่ม ตระหนักว่าการใช้นโยบายและการกระทำที่รุนแรง มิอาจยุติความขัดแย้งในซินเจียงได้ ทางการจีน จึงได้ปรับเปลี่ยนนโยบายจากการใช้ความรุนแรงเป็นการผสมผสานกลืนกลาย โดยการเคลื่อนย้าย ชาวฮั่น ชาวฮั่น คือ ชาติพันธุ์ฮั่น คือ ชนส่วนใหญ่ของจีน
.
ชาวฮั่น ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ด้วยนโยบาย “มุ่งสู่ตะวันตก” ตะวันก็คือพื้นที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เพื่อลดสัดส่วนและกลืนกลายกลุ่มชาติพันธุ์ อุยกูร์ ซึ่งนโยบายดังกล่าวสามารถลดสัดส่วนประชากรของชาวอุยกูร์ได้จริงๆ ลดจากร้อยละ 90 เหลือร้อยละ 45 โดยมีชาวฮั่นเข้ามาเพิ่มสัดส่วนถึงร้อยละ 40 (เดิมมีเพียงร้อยละ 6) ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ อื่นๆ เช่น ชาวมองโกล (蒙古族) ชาวหุย (回族) และชาวคาซัค (哈萨克族) เป็นต้น
.
ต่อมาในปี พ.ศ. 2524(ค.ศ.1981) จีนได้ทำการกำหนดวาทกรรมการพัฒนา ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชุดความรู้ที่มีผลใน การกำหนดความคิด ความเชื่อของฅน เป็นภาพสะท้อนของโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม มุ่ง ปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยการทำให้เจริญขึ้นหรือดีกว่า เพื่อให้เกิดการสยบยอม ด้วยการถูกเปลี่ยน ให้เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่คิดว่าจะดีกว่า
.
ในปี พ.ศ.2563(ค.ศ2020) สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีนโยบายกำหนดให้ซินเจียงเป็น “ประตูสู่เส้นทาง สายไหมยุคใหม่” พร้อมให้อิสระในการนับถือศาสนา ปฏิบัติศาสนกิจ และการเลือกผู้นำของตนเอง ชาวอุยกูร์ในปัจจุบันจึงสามารถพูดได้สองภาษา คือ ภาษาจีนกลางและภาษาแม่ของตนเอง
.
นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าอากาศยาน เส้นทางรถไฟ ทั้งรถไฟความเร็วสูง และทางรถไฟสายใหม่ อีกทั้งยังมีการพัฒนาท่าเรือ ทางหลวงเชื่อมต่อ ไปยังมณฑลต่างๆ
.
ทั้งนี้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบ สำคัญใน “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ซึ่งได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากบรรยากาศ ที่ผ่อนคลาย ความสงบและสวยงามในซินเจียง เผยให้เห็นถึงอารยธรรมและความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ก่อให้เกิดคลื่นของนักท่องเที่ยวจากตะวันออกหลั่งไหลเข้ามา
.
จีนพยายามเปลี่ยนให้ที่นี่เป็นดินแดนหลากวัฒนธรรม ที่มีความสำนึกรักชาติจีน พูดภาษาจีนกลางได้ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ฅนในประเทศมาชมวัฒนธรรมที่แตกต่าง ท่ามกลางการตรวจตราของตำรวจปราบจลาจล บนอาคารตึกสูงในเมืองมีป้ายข้อความเขียนตัวใหญ่ๆ ระบุว่า

“สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางชาติพันธุ์ สร้างวิถีชีวิตอย่างชาวจีน สร้างซินเจียงที่ดีกว่า”
.
อ้างอิง :
อรรถพล ศิริเวชพันธุ์. (2564). “ความเป็นอื่น การนิยามตนเอง และการประกอบสร้างอัตลักษณ์ การท่องเที่ยวจากส่วนกลาง : กรณีศึกษาเมืองถูหลู่ฟาน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์”. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 22(2).