.
การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปี 2568 ในปาตานี/ชายแดนใต้ ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส และยะลา (ในบทความนี้จะไม่มีบทวิเคราะห์ในเขต 4 อำเภอ จังหวัดสงขลา) มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับจำนวนบัตรเสียและผู้ที่เลือก Vote No (ไม่ประสงค์ลงคะแนน) ซึ่งมีจำนวนรวมกันสูงถึง 128,182 คะแนน สะท้อนถึงปัจจัยที่ควรได้รับการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง อาจรวมไปถึงความเกี่ยวข้องกับกระบวนการสันติภาพ ในฐานะที่เป็นพื้นที่ความขัดแย้งยาวนานซึ่งต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย
.
สถิติสำคัญในแต่ละจังหวัด
เริ่มที่จังหวัดปัตตานี ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 513,555 เสียง ผู้มาใช้สิทธิ์ 318,580 เสียง ผู้ไม่มาใช้สิทธิ์ 194,975 เสียง บัตรเสีย 20,752 เสียง และ Vote No (ไม่ประสงค์ลงคะแนน) 27,373 เสียง
.
ส่วนจังหวัดนราธิวาส ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 584,140 เสียง ผู้มาใช้สิทธิ์ 399,6630 เสียง ผู้ไม่มาใช้สิทธิ์ 184,477 เสียง บัตรเสีย 17,846 เสียง และ Vote No (ไม่ประสงค์ลงคะแนน) 14,433 เสียง
และจังหวัดยะลา ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 385,846 เสียง ผู้มาใช้สิทธิ์ 224,707 เสียง ผู้ไม่มาใช้สิทธิ์ 161,139 เสียง บัตรเสีย 18,533 เสียง และ Vote No (ไม่ประสงค์ลงคะแนน) 29,334 เสียง
.
เมื่อพิจารณาตัวเลขรวมทั้งสามจังหวัดดังนี้ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 1,483,541 เสียง มีผู้มาใช้สิทธิ์ 942,950 เสียง (คิดเป็น 63.56%) ด้านผู้ที่ไม่มาใช้สิทธิ์ 540,591 (นี่คือเสียงประชาชนที่หายไปจากระบบเลือกตั้ง คิดเป็น 36.44%) ส่วนบัตรเสีย 57,131 เสียง และ คนที่ Vote No (ไม่ประสงค์ลงคะแนน ไม่ประสงค์เลือกผู้ใด) 71,140 เสียง
.
ปรากฏการณ์บัตรเสียจำนวนมากและการเลือก VoteNo เมื่อรวมกันทั้งสามจังหวัดจำนวน 128,182 เสียง คิดเป็น 13.59 % จากยอดผู้มาใช้สิทธิ์ สะท้อนถึงปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง โดยสามารถวิเคราะห์ได้จากมิติทางการเมืองและสังคม ความไม่ไว้วางใจในผู้สมัครหรือระบบการเลือกตั้ง และความต้องการแสดงออกถึงการไม่สนับสนุนผู้สมัครใดเลย ซึ่ง Vote No เป็นทางเลือกที่สะท้อนถึงความไม่พอใจของประชาชน
.
บรรยากาศทางการเมืองที่ซับซ้อนในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นชาติพันธุ์ ศาสนา และความมั่นคง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ พื้นที่นี้มีประวัติความขัดแย้งที่ยาวนาน รวมถึงเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างกองกำลังของรัฐและขบวนการแบ่งแยกดินแดน ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจในอำนาจรัฐและกระบวนการเลือกตั้ง ประชาชนบางส่วนอาจมองว่ากลไกทางการเมืองในปัจจุบันไม่สามารถสะท้อนเจตจำนงของพวกเขาได้อย่างแท้จริง ขณะที่กระบวนการสันติภาพยังคงเต็มไปด้วยความซับซ้อน
.
ด้านการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน พบว่าหลายคนอาจยังไม่เข้าใจวิธีการลงคะแนนที่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดบัตรเสียจำนวนมาก นอกจากนี้ การขาดแคมเปญรณรงค์ที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้ประชาชนตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ความเบื่อหน่ายทางการเมือง รวมถึงการตั้งใจไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือทำให้บัตรเสีย ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อปรากฏการณ์นี้
.
อีกมิติหนึ่งที่นักวิเคราะห์การเมืองเห็นตรงกันคือข้อจำกัดของกฎระเบียบการเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเลือกที่เหมาะสม รวมถึงการบริหารจัดการเลือกตั้งที่ไม่สามารถสร้างความโปร่งใสและความมั่นใจให้กับประชาชนได้อย่างเต็มที่ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกตั้ง และสะท้อนถึงความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข
.
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเข้าถึงสิทธิของประชาชน การที่มีผู้ไม่มาใช้สิทธิ์มากถึง 36.44% โดยเฉพาะ คือการไม่เปิดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าและการกำหนดวันเสาร์เป็นวันเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิในวันเลือกตั้งจริง เช่น ผู้ที่ต้องทำงานเป็นกะ หรือมีภาระครอบครัว อาจเสียโอกาสในการใช้สิทธิ ส่งผลให้จำนวนผู้มาใช้สิทธิลดลง และลดการมีส่วนร่วมทางการเมือง
.
แม้ว่าการกำหนดวันเสาร์เป็นวันเลือกตั้งจะช่วยลดผลกระทบต่อวันทำงานของบางกลุ่ม แต่ก็อาจไม่สะดวกสำหรับแรงงานในบางอุตสาหกรรม การไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้ายังทำให้บางคนละเลยการใช้สิทธิเนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ดังนั้น การปรับปรุงมาตรการให้เหมาะสม เช่น การเปิดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า หรือเพิ่มช่องทางการเลือกตั้ง จะช่วยเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมของประชาชน และทำให้การเลือกตั้งมีความเป็นธรรมและครอบคลุมมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตามจำนวนบัตรเสียและการเลือก Vote No ในระดับหลักแสนครั้งนี้ จำนวน 128,182 เสียง หรือคิดเป็น 13.59 % จากยอดผู้มาใช้สิทธิ์ จึงสะท้อนถึงวิกฤตศรัทธาต่อระบบการเมืองท้องถิ่น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้พรรคการเมืองและผู้สมัครต้องปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน หากไม่สามารถทำได้ ทางเลือกของประชาชนจะยิ่งจำกัดลง ภายใต้ระบบการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมอย่างทุกวันนี้
.
สถานการณ์เช่นนี้อาจสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทางการทหารในหมู่คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ระหว่างรัฐไทยและขบวนการติดอาวุธ โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งดำเนินมานานกว่า 20 ปี ส่งผลให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติในสายตาชาวบ้าน เมื่อประชาชนหมดศรัทธาต่อการเมือง แม้แต่ระดับท้องถิ่นที่ตนเองอาศัยอยู่ พวกเขาอาจหันไปสนับสนุนแนวทางที่นำไปสู่ความสูญเสียทางการทหารมากกว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นภาวะความเคยชินที่น่ากังวล
.
ทั้งนี้แนวทางแก้ไขและพัฒนา อย่างน้อยสามประเด็นที่เร่งด่วน ดังนี้
– ควรมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการเลือกตั้งและบทบาทของ อบจ. ต่อชุมชน
– ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย เช่น สื่อออนไลน์และการจัดเวทีเสวนา
– ปรับปรุงกระบวนการเลือกตั้งให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
.
จึงอาจสรุปได้ว่าปรากฏการณ์ Vote No และบัตรเสียจำนวนมาก ในการเลือกตั้ง อบจ. 2568 ของพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ เป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงปัจจัยทางการเมือง สังคม และการรับรู้ของประชาชน ซึ่งควรได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน การแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงรุกในการสร้างความเข้าใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระดับท้องถิ่นให้มากขึ้น
.