เงาอำนาจรัฐและแรงต้านปฏิบัติการ BRN กับบทบาท อส. ในสมรภูมิปาตานี


.

ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 จนถึงต้นปี 2568 ได้เกิดเหตุการณ์การข่มขู่และโจมตีต่ออาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนภาคใต้ จนกระทั่งเกิดเหตุปะทะและระเบิดในอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 8 มีนาคม 2568 สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของขบวนการ BRN ที่ใช้ทั้งการข่มขู่เชิงจิตวิทยาและการโจมตีเชิงสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารข้อความทางการเมืองและผลักดันเป้าหมายของตนภายใต้บริบทความขัดแย้ง และภายใต้กระบวนการสันติภาพที่กำลังเป็นคำถามหลักว่า ทั้งสองฝ่ายจะเอาอย่างไรกันแน่ในภาวะสุญญากาศ
.

ไล่ลำดับเหตุการณ์สำคัญ การข่มขู่เชิงจิตวิทยา
สิงหาคม – กันยายน 2567 พบจดหมายข่มขู่เจ้าหน้าที่ อส. กระจายในหลายอำเภอของจังหวัดปัตตานีและสงขลา โดยเฉพาะในอำเภอมายอ แม่ลาน ยะรัง ทุ่งยางแดง สายบุรี และเทพา

19 ส.ค.67 – พบจดหมายขู่ในพื้นที่ อ.มายอ อ.แม่ลาน และ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

23 ส.ค.67 – พบจดหมายขู่ใส่ในซองจดหมาย จ่าหน้าถึงเจ้าหน้าที่ อส. 14 นาย ซึ่งเป็น อส.อำเภอทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี

30 ส.ค.67 – พบจดหมายข่มขู่เจ้าหน้าที่ อส. ที่ร้านน้ำชา และมัสยิดใน ต.แป้น ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี และ ต.ดอนทราย กับ ต.ไทรทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี

30 ส.ค.67 – พบจดหมายข่มขู่ใส่ซองจ่าหน้าถึงเจ้าหน้าที่ อส. รวม 6 ฉบับ ที่มัสยิด ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา

1 ก.ย.67 – พบจดหมายข่มขู่ เขียนระบุชื่อเจ้าหน้าที่ อส.อำเภอจะแนะ 5 ฉบับ วางหน้าบ้านของ อส. 5 นาย เป็น อส.ชคต.จะแนะ 4 นาย และ อส.ชคต.ช้างเผือก 1 นาย

7 ก.ย.67 – พบจดหมายข่มขู่ใส่ซอง จ่าหน้าถึงเจ้าหน้าที่ อส.ในพื้นที่ 2 ตำบลของ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส รวม 7 ฉบับ วางหน้ามัสยิด 2 ตำบล คือ ต.ตันหยงลิมอ และ ต.ตันหยงมัส
.

กุมภาพันธ์ 2568 เริ่มมีการแขวนป้ายผ้าและพ่นสีสเปรย์ตามท้องถนนและกำแพงในหลายพื้นที่ โดยมีข้อความเรียกร้องให้ อส. ลาออกจากการทำงานให้รัฐไทย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น

วันที่ 12 ก.พ.68 หรือวันพุธที่ผ่านมา พบการแขวนป้ายผ้าในพื้นที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เขียนข้อความว่า “อส.จงลาออกไป อย่ารับใช้รัฐสยามอีก กลับไปอยู่กับครอบครัว”

วันที่ 14 ก.พ. ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ พบป้ายผ้า และพ่นสีสเปรย์บนท้องถนน หรือตามกำแพง ข้อความคล้ายๆ กัน ในพื้นที่ อ.ยะรัง อ.สายบุรี อ.กะพ้อ อ.ปะนาเระ อ.หนองจิก อ.ไม้แก่น อ.มายอ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และ อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกับ อ.โคกโพธิ์
วันวาเลนไทน์ 14 ก.พ.เช่นกัน ยังมีเหตุระเบิด “โชเล่ย์บอมบ์” โจมตีกองร้อย อส. อำเภอแว้ง จ.นราธิวาส
.

มีนาคม 68 โจมตีที่ว่าการอำเภอเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์การปกครองของรัฐไทย

8 มี.ค.2568 เกิดเหตุยิงปะทะและวางระเบิดในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ในหลายจุด เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ อส. เสียชีวิต 2 นาย ได้รับบาดเจ็บ 8 นาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 4 คน
.

การโจมตีเชิงสัญลักษณ์และการโจมตีทางการทหารด้วยเหตุรุนแรง

14 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดเหตุ “โชเล่ย์บอมบ์” โจมตีกองร้อย อส. อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านภาครัฐ ใช้ห้วงของวันแห่งความรัก ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นการส่งสารถึงฝ่ายรัฐและประชาคมนานาชาติ

8 มีนาคม 2568 เกิดเหตุปะทะและระเบิดในอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ อส. เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 8 นาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 4 ราย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงสองวันก่อนวันครบรอบ 116 ปีของสนธิสัญญา Anglo-Siamese 1909 ซึ่งเป็นวันที่สยามได้รับรองอำนาจอธิปไตยเหนือปาตานีอย่างเป็นทางการ
.

ความรุนแรง การเมืองและกระบวนการสันติภาพ

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยและขบวนการ BRN หยุดชะงักสุญญากาศ ข้อตกลงลดความรุนแรง ที่ฝ่ายรัฐไทยเรียก หรือที่ฝ่าย BRN เรียกว่า “การยุติความเป็นปฏิปักษ์ (Cessation of hostilities) ตลดจน JCPP หรือ แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม ที่คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยและบีอาร์เอ็น เห็นชอบใน 3 หลักการ คือ การลดความรุนแรง การปรึกษาหารือกับประชาชน และการแสวงหาทางออกทางการเมือง ต่างถูกละเลยนิ่งเงียบแม้ว่ารัฐบาลไทยจะมาจากการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยแล้วก็ตาม
.

อำนาจรัฐในพื้นที่กำลังถูกลดทอน

ขบวนการ BRN ได้ส่งสัญญาณไปยัง อาสาสมัครรักษาดินแดน ให้ลดบทบาทของการเป็นกำลังพลที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมพื้นที่และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนในพื้นที่ขัดแย้งแทนกองกำลังทหารอาชีพ และทหารรับจ้าง จนเกิดการข่มขู่และโจมตี อส. อาจเป็นความพยายามกดดันให้รัฐพิจารณาปรับโครงสร้างการรักษาความปลอดภัย ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของขบวนการบนโต๊ะเจรจา

สำหรับมาตรการล่าสุดที่ทางรองอธิบดีกรมการปกครอง ได้เสนอเร่งรัดอบรม อส. 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 500 นาย ให้เข้าอบรมฝึกฝนยุทธวิธีการต่อสู้การใช้อาวุธ รวมทั้งกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อที่จะสามารถนำความรู้ความสามารถไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ มาตรการนี้เป็นการติดอาวุธให้แก่พลเรือน จนกลายเป็นตัวแทนคู่ขัดแย้งกับขบวนการฯ แทนจะเป็นเจ้าหน้าที่ความมั่นคง
.

การส่งสารทางการเมืองเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ปาตานี

การโจมตีวันที่ 8 มีนาคม โดยมุ่งเป้าไปที่ที่ว่าการอำเภอ แทนการโจมตีฐานปฏิบัติการหรือค่ายทหาร เป็นระบุเป้าหมายที่ชัดว่านี่คือสัญลักษณ์ของการปกครองของรัฐไทย ซึ่งใกล้กับวันครบรอบสนธิสัญญา Anglo-Siamese 1909 อาจเป็นการสื่อสารถึงความไม่พอใจต่อการที่รัฐไทยถือครองพื้นที่ปาตานีโดยขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนมลายู บวกกับการใช้ป้ายผ้าและข้อความต่อต้านรัฐสะท้อนถึงแนวคิดว่าประชาชนในพื้นที่ยังถูกมองว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยโดยสมบูรณ์
.

ความจริงจังและจริงใจของทั้งสองฝ่ายในกระบวนการสันติภาพ

ฝ่ายรัฐไทย โดยเฉพาะรัฐบาลเพื่อไทย และพรรคประชาชาติ เป็นพรรคที่มีจำนวน สส.มากที่สุดในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ นับว่าทั้งสองเป็นพรรคที่มาจากเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย จำเป็นอย่างยิ่งต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการสร้างสันติภาพผ่านมาตรการที่เป็นรูปธรรม

ส่วนฝ่ายขบวนการ BRN ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าการโจมตีการทหารไม่ใช่การล้มโต๊ะเจรจา และการโจมตีต้องไปมุ่งเป้าที่เป้าหมายอ่อน (Soft Target) การข่มขู่และโจมตีจะต้องไม่ได้ขัดขวางความตั้งใจในการสร้างสันติภาพ และต้องให้ความร่วมมือในการลดความรุนแรง หากต้องการให้การเจรจาเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

และการที่จะต้อง “เปิดโต๊ะเจรจา” ไม่ใช่เกิดภายใต้เข็มมุ่งหลัก “คุยไป-ฆ่าไป/ฆ่าไป-คุยไป” ดั่งที่นักวิชาการด้านความมั่นคงไทยได้กล่าวไว้ แต่การมีโต๊ะเจรจาจะต้องสามารถยุติปฏิบัติทางการทหารให้ได้ เฉกเช่นอาจารย์ด้านสันติศึกษากล่าวไว้

“ทำไมมีการพูดคุยสันติภาพแล้วถึงยังเกิดความรุนแรงอยู่ การตั้งคณะพูดคุยทั้งสองฝ่ายแล้ว ใช่ว่าเหตุการณ์จะหยุดลงทันที สถานการณ์พื้นที่อื่นๆทั่วโลกก็แสดงให้เห็นว่า ช่วงที่คุยกันอยู่ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีความรุนแรง คุยกันไประเบิดไป ยิงไปเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าถ้าต้องการให้เกิดการยุติปฏิบัติการทางการทหารต้องมีข้อตกลงที่เกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจา และข้อลงตกนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีโต๊ะเจรจา” ดร.รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช อาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ POLICY WATCH จับตาอนาคตประเทศไทย ทางช่อง Thai PBS
.
ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่กลางปี 2567 จนถึงต้นปี 2568 แสดงให้เห็นว่าขบวนการ BRN ยังคงใช้ยุทธศาสตร์เชิงสัญลักษณ์และจิตวิทยาเพื่อท้าทายอำนาจของรัฐไทย ในขณะที่รัฐไทยเองก็ยังไม่มีท่าทีที่จะปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน เพียงยืนยันว่า ความรุนแรงต้องยุติลงในปี 2570 โดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตย เหตุการณ์เหล่านี้จึงไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ แต่ยังเป็นบททดสอบความจริงใจของทั้งสองฝ่ายในการเดินหน้าสู่สันติภาพที่แท้จริงในปาตานี/ชายแดนใต้

“ขอสันติภาพจงประสบแด่ทุกท่าน”