116 ปี สนธิสัญญา 1909 ข้อตกลงที่เปลี่ยนชะตากรรมปาตานี

ปี 2025 อากาศร้อนจัดของเดือนรอมฎอนในร้อยกว่าปีต่อมา ก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม ที่ซึ่งเสียงอาซานจากมัสยิดดังก้องยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า รถที่สัญจรไปมาบนถนนหายไปชั่วพริบตา เพราะถึงเวลาของการละศีลอดต่างฅนต่างรีบเร่งกลับบ้านเรือนเพื่อให้ได้อยู่กับครอบครัว
.
ชาวมลายูปาตานียังดำเนินชีวิตท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและบาดแผลทางประวัติศาสตร์ พื้นที่แห่งนี้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส และส่วนหนึ่งในจังหวัดสงขลาไม่ได้เป็นเพียง “ชายแดนใต้” ในแผนที่ประเทศไทย แต่ยังเป็นดินแดนที่ถูกกำหนดชะตากรรมไว้เมื่อ 116 ปีก่อน ด้วยลายเซ็นบนกระดาษสนธิสัญญา ค.ศ. 1909 ระหว่างสยามกับอังกฤษ

แม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปกว่าศตวรรษ แต่ร่องรอยของข้อตกลงฉบับนี้ยังคงส่งผลต่อผู้ฅนในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง สนธิสัญญานี้เป็นเหตุให้ปาตานีซึ่งเคยมีเอกราชทางวัฒนธรรมและการปกครองต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยาม ขณะที่รัฐมลายูในมาลายาอย่างกลันตัน เคดะห์ และตรังกานู กลับอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียในเวลาต่อมา ส่งผลให้เหลือแค่ปาตานีที่เป็นรัฐมลายูหนึ่งเดียวที่อยู่นอกมาลายา

เส้นแบ่งเขตแดนที่ถูกกำหนดขึ้นโดยผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของมหาอำนาจตะวันตก ส่งผลให้ประชากรมลายูมุสลิมในปาตานีกลายเป็น “ฅนนอก” ภายในรัฐไทย ซึ่งส่งผลต่ออัตลักษณ์ วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

สนธิสัญญา ค.ศ. 1909 ระหว่างสยามกับอังกฤษ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ดินแดนแหลมมลายู สยามต้องยอมโอนดินแดนกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปะลิสให้แก่อังกฤษ เพื่อแลกกับการยกเลิกอนุสัญญาลับ ค.ศ. 1897 รวมถึงสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและเงินกู้สร้างทางรถไฟสายใต้ แต่ทำไมการเจรจาครั้งนี้จึงเกิดขึ้น และอะไรคือปัจจัยที่ผลักดันให้สยามต้องเลือกเส้นทางนี้?
.
The Motive จะพาคุณไปสำรวจ 5 ปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังข้อตกลงที่เปลี่ยนแผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปตลอดกาล จากบทความวิชาการ “ปัจจัยที่มีผลต่อการตกลงพรมแดนในดินแดนมลายู ระหว่างสยามและอังกฤษในสนธิสัญญาปี ค.ศ.1909” ผลงานของฐนพงศ์ ลือขจรชัย
.

1. ชาติและชาติพันธุ์ : การสร้าง “ความชอบธรรม” เหนือดินแดน

ในช่วงศตวรรษที่ 19 สยามภายใต้รัชกาลที่ 4 และ 5 เริ่มเปลี่ยนแนวคิดจากรัฐจารีตที่ปกครองดินแดนหลากหลายชาติพันธุ์ ไปสู่แนวคิด “ชาติ” ที่รวมประชากรต่างกลุ่มเข้าเป็นหนึ่งเดียว โดยใช้สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ดั่งที่รัชกาลที่ 5 ทรงได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า “ชาติประกอบด้วยกลุ่มฅนที่มีความแตกต่างกันทางสถานะภูมิหลัง ภาษา วัฒนธรรม ฯลฯ แต่ก็ผูกพันกันได้เพราะมีพระมหากษัตริย์”

แนวคิดนี้ขยายไปถึงดินแดนมลายูที่สยามปกครอง ซึ่งถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ควรคงไว้ภายใต้ “ชาติไทย” คำว่า “ชาติ” ที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของชนชั้นนำสยามมีลักษณะแตกต่างจาก “ชาติ” (Nation) แบบตะวันตก คำว่า “ชาติ” โดยเนื้อแท้ของภาษาไทยแล้ว แปลว่า “กำเนิด” ไม่ได้มีความหมายเดียวกับ nation ที่กินความหมายถึงการเป็นรัฐหรือประเทศ ในภาษาไทยมักใช้คำว่า “บ้านเมือง” “กรุง” หรือ “พระนคร” เช่นเดียวกันกับคำว่า “สยาม” กับ “ไทย” นักวิชาการหลายท่านได้อธิบายทั้ง 2 คำนี้ว่า “สยาม” มีนัยยะเชิงดินแดน แต่คำว่า “ไทย” มีความหมายในทางชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ชนเผ่า

แต่ปัญหาคือ ชาวมลายูในพื้นที่ อย่าง ปาตานี กลันตัน เคดะห์ และตรังกานู มีเอกลักษณ์ทางศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสยาม สยามจึงพยายามสร้างวาทกรรมว่า “ชาวมลายูปาตานีเป็นแขกที่ปนกับสยาม” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง อย่างไรก็ตาม ชาวมลายูส่วนใหญ่กลับต่อต้าน และความแตกต่างทางชาติพันธุ์กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้สยามปกครองดินแดนนี้ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
.

2. รัฐสืบทอด : การอ้างสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์

สยามพยายามอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนมลายูโดยใช้แนวคิด “รัฐสืบทอด” โดยอ้างว่ากรุงรัตนโกสินทร์เป็นทายาทโดยตรงของกรุงศรีอยุธยา และดินแดนเหล่านี้เคยอยู่ใต้การปกครองของอยุธยามาก่อน

รัชกาลที่ 4 และ 5 พยายามเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชาติไทยเข้ากับดินแดนมลายู เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรักษาอธิปไตย อย่างไรก็ตาม อังกฤษไม่ได้ยอมรับเหตุผลนี้ เพราะพวกเขามองว่าดินแดนมลายูควรได้รับการจัดการโดยรัฐที่สามารถดูแลผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า ซึ่งในสายตาของอังกฤษ นั่นหมายถึง “ตัวพวกเขาเอง”

อาณาจักรปาตานีกลายเป็นหนึ่งในประเทศราชที่ถูกสยามอ้างสิทธิ์หลังจากการสู้รบกันและสยามเป็นฝ่ายชนะ เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 แนวคิดเรื่องชาติได้ทำให้รูปแบบการอ้างสิทธิ์ (จากอยุธยา) เปลี่ยนไปสู่การอ้างในลักษณะว่าเป็นมรดกของชาติไทยโดยใช้แนวคิดแบบรัฐสมัยใหม่คือเมืองขึ้นมาอธิบายต่อเจ็ดหัวเมือง(ปาตานี) แต่ยังคงใช้คำอธิบายแบบจารีตคือประเทศราชในดินแดนมลายูอื่น

การอ้างความชอบธรรมเหนือดินแดนมลายูของสยามก็มีความแตกต่างระหว่างอาณาจักรปาตานีและหัวเมืองมลายูอื่นโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพมองว่าเมืองกลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี “เป็นเมืองประเทศราชเต็มบรรดาศักดิ์” ในขณะที่เจ็ดหัวเมืองในปาตานีแท้จริงแล้ว “อยู่ในอำนาจคล้ายกับเมืองขึ้นสงขลาอยู่แล้ว” ประเด็นนี้ มีความน่าสนใจอย่างมาก

การอธิบายประเทศราชและเมืองขึ้นที่อยู่กันฅนละระเบียบโลกเข้ามาในบริบทเดียวกันเป็นการสะท้อนเจตนาที่มองอาณาจักรปาตานีเป็นดินแดนที่ต้องผนวกไว้เป็นของสยามให้ได้จึงใช้คำว่าเมืองขึ้นเพื่อแสดงถึงอธิปไตยเหนือดินแดน แต่กลับใช้คำว่าประเทศราชซึ่งเป็นคำในการปกครองแบบจารีตที่ผูกพันกันด้วยพันธะในระเบียบโลกเก่าต่อดินแดนกลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี
.

3. เศรษฐกิจและการปกครอง : แหล่งแร่ดีบุก กับปัญหาการบริหาร

รัฐมลายูยังส่งบรรณาการให้แก่สยามเพียง 3 ปีต่อครั้งผิดกับที่อื่นๆ เช่น หลวงพระบางหรือล้านนาที่ต้องส่งปีละครั้ง เป็นต้น บรรณาการมีมูลค่ารวมกันแค่ประมาณ 800-1000 ดอลล่าร์ ซึ่งหากเทียบกับมูลค่าของส่วยสำหรับทำต้นไม้เงินต้นไม้ทองหรือที่เรียกว่า “อาเส” แม้สยามจะมีสิทธิ์เหนือดินแดนนี้ แต่การปกครองกลับเป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ ระบบการจัดเก็บภาษีไม่โปร่งใส การบริหารงานโดยขุนนางท้องถิ่นนำไปสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวง และชาวมลายูเริ่มไม่พอใจกับการบริหารของสยาม

สยามได้แบ่งการปกครองดินแดนมลายูเป็น 2 ส่วนตั้งแต่แรกคือ เจ็ดหัวเมืองปาตานีและรัฐมลายูอื่น เมื่อมีการทำสนธิสัญญาเบอร์นีในปี ค.ศ.1826 ดินแดนมลายูก็ถูกแบ่งเป็นเขตอิทธิพลของสยามและอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1882 พรมแดนนี้ถูกหยิบขึ้นมาตกลงกันใหม่อีกครั้งให้ชัดเจนยิ่งขึ้นระหว่างสยามกับอังกฤษเมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้รัฐบาลสยามแสดงเขตแดนที่แน่นอนระหว่างชายแดนเมืองเปรัคของอังกฤษและเมืองรามันของสยาม การเจรจายืดเยื้อจนเกือบทำให้อังกฤษใช้กำลังทหารเพื่อยึดดินแดนดังกล่าวเพื่อยุติข้อพิพาท

การเจรจาพรมแดนนี้ยืดเยื้อมาจนเกิดวิกฤติปากน้ำ ร.ศ. 112 (ค.ศ. 1893) ที่ฝรั่งเศสนำเรือรบมาปิดอ่าวสยาม เพื่อให้สยามเพิกถอนการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด (ดินแดนลาวปัจจุบัน) ภายหลังวิกฤติปากน้ำ อังกฤษและฝรั่งเศสตกลงทำปฏิญญา ค.ศ. 1896 เพื่อแบ่งเขตอิทธิพลของทั้งสองฝ่ายเหนือสยามและให้ดินแดนตรงกลางระหว่างอาณานิคมทั้ง 2 เป็นดินแดนกันชน (buffer zone)

ยกเว้นภาคใต้ของสยามและดินแดนมลายู อังกฤษและสยามได้ทำอนุสัญญาลับ ค.ศ. 1897 อีกฉบับซึ่งมีผลทำให้ดินแดนตั้งแต่เมืองบางสะพาน (ประจวบคีรีขันธ์) ลงไปจรดเขตแดนของอังกฤษในมลายูเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษ ส่งผลให้ดินแดนในส่วนนี้ถูกรับรองให้เป็นเขตที่สยามมีอธิปไตยเหนือดินแดนแบบรัฐสมัยใหม่

อย่างไรก็ดีอนุสัญญาลับ ค.ศ. 1897 ทำให้สยามมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากการให้สัมปทานใดๆ แก่ชาติใดสยามต้องส่งเรื่องไปให้รัฐบาลอังกฤษพิจารณาก่อน ทำให้ชาติตะวันตกอื่นไม่พอใจและเห็นว่ารัฐสยามลำเอียง และจากการคมนาคมที่ยากลำบากก็ทำให้สยามไม่สามารถปกครองดินแดนมลายูได้อย่างมีประสิทธิภาพ สยามจึงคิดสร้างทางรถไฟสายใต้เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสนอความเห็น แต่การจะสร้างทางรถไฟสายใต้ก็ต้องยกเลิกอนุสัญญาลับ 1897 ก่อน มิฉะนั้นผลประโยชน์และสัมปทานทั้งหมดจะตกเป็นของอังกฤษ

เรื่องนี้ทำให้สยามได้เปิดการเจรจากับอังกฤษในปี ค.ศ. 1909 โดยสยามได้ยอมสละดินแดนมลายูที่ตนไม่สามารถปกครองได้อย่างเต็มที่ แลกกับการปกครองดินแดนที่เหลือได้มั่นคงยิ่งขึ้น หนึ่งในเหตุผลสำคัญในการเจรจาระหว่างสยามกับอังกฤษ เพราะดินแดนมลายูเป็นแหล่งแร่ดีบุกสำคัญของโลก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงในช่วงศตวรรษที่ 19 เนื่องจากดีบุกเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับทำภาชนะถนอมอาหารอันเป็นสิ่งจำเป็นในการทำสงคราม
.

4. ภาพลักษณ์ประเทศ: จาก “ดินแดนป่าเถื่อน” สู่ “รัฐอารยะ”

สยามต้องได้รับการยอมรับจากนานาชาติในฐานะประเทศที่เท่าเทียมและมีความอารยะ (ศิวิไลซ์) หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของรัชกาลที่ 5 คือการทำให้สยามได้รับการยอมรับจากชาติตะวันตกว่าเป็น “รัฐอารยะ” เทียบเท่ากับประเทศในยุโรป

แต่ปัญหาสำคัญที่ขัดขวางภาพลักษณ์นี้คือ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ซึ่งเปิดช่องให้ชาวต่างชาติไม่ต้องขึ้นศาลไทย สิ่งนี้เป็นเสมือนตราบาปที่บอกว่าสยามยังไม่ใช่รัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเต็มที่ และเป็นข้อบ่งชี้ชัดว่าเป็นการไม่ยอมรับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของสยาม กล่าวคือ ไม่ยอมรับว่าสยามมีความอารยะหรือเท่าเทียมกับชาวตะวันตก

สยามต้องการให้นานาชาติยอมรับในฐานะรัฐที่เทียบเท่ากับรัฐในยุโรป ภาพลักษณ์นี้จึงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเจรจาสนธิสัญญา ค.ศ. 1909 การเจรจาเรื่องพรมแดน มีการนำเรื่องการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตมาคุยกันด้วย อังกฤษเสนอว่า หากสยามต้องการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต สยามต้องยอมแลกดินแดนบางส่วนที่อังกฤษสนใจ สุดท้ายสยามตัดสินใจว่า “การรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ” และ “การได้รับการยอมรับจากนานาชาติ” มีความสำคัญมากกว่าการถือครองดินแดนที่ปกครองได้ยาก
.

5. นโยบายจักรวรรดินิยมอังกฤษ : เกมแห่งอำนาจในแหลมมลายู

อังกฤษต้องการควบคุมดินแดนมลายูทั้งหมดเพื่อปกป้องเส้นทางการค้าของตนระหว่างอินเดียและจีน พวกเขาไม่ต้องการให้สยามหรือมหาอำนาจอื่น เช่น ฝรั่งเศส หรือเยอรมัน มีบทบาทในภูมิภาคนี้

แต่การผนวกดินแดนโดยตรงอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจดึงฝรั่งเศสให้เข้ามามีบทบาทในมลายู อังกฤษจึงเลือกใช้ “แนวทางประนีประนอม” โดยให้สยามมอบดินแดนมลายูบางส่วนเพื่อแลกกับสิ่งที่สยามต้องการ

ความไม่พอใจของชาวมลายูต่อสยามเกิดการกดดันอังกฤษ สุลต่านปาตานีได้ร้องขอให้อังกฤษยึดปาตานีเป็นเมืองขึ้น แต่อังกฤษตอบปฏิเสธ สุลต่านเจ็ดหัวเมืองในปาตานีที่ผิดหวังถึงกับข่มขู่อังกฤษว่าถ้าอังกฤษไม่ยอมช่วยก็จะไปขอความช่วยเหนือจากมหาอำนาจอื่นในยุโรป อังกฤษคิดว่าเป็นอันตรายเกินไปหากจะมีมหาอำนาจอื่นเข้าสู่ดินแดนมลายู จึงทำหนังสือกราบทูลต่อรัชกาลที่ 5 เป็นการส่วนพระองค์ ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ.1901 ว่าจะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในปาตานี ซึ่งข้อมูลนี้อาจเป็นเหตุให้สยามดำเนินการจัดการปฏิรูปการปกครองในเจ็ดหัวเมืองอย่างเด็ดขาดโดยส่งเรือรบและตำรวจจากส่วนกลางมาควบคุม
.
นอกจากนี้ ความไม่สงบในปาตานีและการเรียกร้องให้อังกฤษเข้ามาแทรกแซงจากสุลต่านมลายู ยิ่งทำให้อังกฤษมองว่าการปล่อยให้ดินแดนเหล่านี้อยู่ภายใต้สยามต่อไปอาจสร้างปัญหาในอนาคต การตัดสินใจแลกเปลี่ยนดินแดนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย

สนธิสัญญา ค.ศ. 1909 ไม่ใช่เพียงข้อตกลงแบ่งดินแดนธรรมดา แต่เป็นผลลัพธ์ของปัจจัยที่ซับซ้อนทั้งด้านชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์

ในมุมของสยาม นี่คือ “การสูญเสียเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่า” แม้จะต้องเสียดินแดนไป แต่สยามก็ได้รับการยอมรับในฐานะรัฐสมัยใหม่มากขึ้น และสามารถดำเนินนโยบายอิสระโดยไม่ต้องกังวลเรื่องมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาแทรกแซงภายใน
.
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของข้อตกลงนี้ยังคงสั่นสะเทือนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ที่ยังคงเผชิญกับปัญหาทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง


ฐนพงศ์ ลือขจรชัย. (2561, มกราคม-มิถุนายน). ปัจจัยที่มีผลต่อการตกลงพรมแดนในดินแดนมลายูระหว่างสยามและอังกฤษในสนธิสัญญาปี ค.ศ.1909. วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์. 5(1)