รอมฎอนสันติสุข ทำไมข้อตกลงรอมฎอนสันติสุข ถึงไม่มีในปี 2568

.
ทบทวน “รอมฎอนสันติสุข” บทเรียนและข้อสังเกตต่อกระบวนการสันติภาพปาตานี
การริเริ่ม “รอมฎอนสันติสุข” ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (บีอาร์เอ็น – BRN) ภายใต้กระบวนการเจรจาสันติภาพ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความพยายามในการลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยและการแสวงหาทางออกทางการเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายของขบวนการเอกราชปาตานี อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวเข้าสู่ปี พ.ศ. 2568 พบว่าไม่มีการสานต่อข้อริเริ่มดังกล่าว คำถามที่ตามมาคือ รอมฎอนสันติสุขที่ผ่านมาเป็นเพียงมาตรการเชิงสัญลักษณ์เท่านั้นหรือไม่ และรัฐบาลไทยมีความตั้งใจจริงในการผลักดันให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนหรือไม่
.

ความคืบหน้าและผลลัพธ์ของรอมฎอนสันติสุขที่ผ่านมา

ข้อตกลงรอมฎอนสันติสุขเกิดขึ้นจากการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็นครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2565 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันที่จะยุติปฏิบัติการทางทหารในช่วงเดือนรอมฎอน (3 เมษายน – 14 พฤษภาคม 2565) เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งสันติและความไว้วางใจต่อกัน การดำเนินการครั้งนั้นได้รับการจับตามองจากหลายฝ่ายในฐานะความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมของกระบวนการสันติภาพ
.
ในเชิงปฏิบัติ พบว่ามีการลดลงของเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่าจะยังคงมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งอยู่บ้างตามข่าวข้อเท็จจริง แต่โดยรวมถือว่าข้อตกลงสามารถลดระดับความรุนแรงลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังสร้างเวทีให้เกิดการเจรจาในขั้นต่อไปโดยใช้ประสบการณ์จากรอมฎอนสันติสุขเป็นจุดตั้งต้น
.
เมื่อเข้าสู่ปี 2568 กลับไม่มีข้อตกลงรอมฎอนสันติสุขอีกต่อไป ซึ่งอาจสะท้อนปัจจัยสำคัญบางประการ โดยวิเคราะห์ได้พอสังเขปดังนี้

1. การขาดความต่อเนื่องของกระบวนการเจรจาสันติภาพ ระหว่างรัฐบาลไทยและบีอาร์เอ็นมีลักษณะการพบกันเพื่อเจรจาเป็นระลอก ๆ และขาดกรอบความร่วมมือที่ยั่งยืน การไม่มีข้อตกลงใหม่ในปี 2568 อาจสะท้อนถึงปัญหาความไม่แน่นอนของการเจรจาและความไม่มั่นคงอีกต่อไปของทั้งสองฝ่ายที่จะขยับเรื่องการเจรจาสันติภาพ

2. ท่าทีของรัฐบาลไทยต่อกระบวนการสันติภาพ แม้ว่ารัฐบาลจะเข้าร่วมการเจรจา แต่การดำเนินงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ยังคงเน้นไปที่การปราบปรามและการหาข่าวมากกว่าการสร้างเงื่อนไขเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลมองกระบวนการสันติภาพเป็นเพียงเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์หรือไม่ รวมถึงการตัดสินใจใช้นโยบายฟ้องร้องประชาชนที่ใช้สันติวิธีด้วยข้อหาเดียวกับคดีความมั่นคง ซึ่งในทางการเมืองจะทำให้รัฐบาลไทยกำลังเสียการควบคุม

3. ความท้าทายจากฝั่งขบวนการฯ คือ BRNเองก็เผชิญความท้าทายในด้านเอกภาพภายใน การควบคุมกลุ่มย่อย และการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ต้องตอบสนองทั้งแนวทางสันติภาพและการเคลื่อนไหวของขบวนการติดอาวุธ บางส่วนอาจมองว่าการลดระดับปฏิบัติการทางทหารเป็นการเสียเปรียบในเชิงยุทธศาสตร์ ที่สำคัญงานการเมืองของ BRN หลายฝ่ายมองว่าไม่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไปในพื้นที่ได้จริง

4. เงื่อนไขของสถานการณ์ในพื้นที่ แม้ในปี 2565 ข้อตกลงรอมฎอนสันติสุขจะช่วยลดเหตุการณ์ความรุนแรง แต่ผลกระทบในระยะยาวยังไม่ชัดเจน ขณะที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในพื้นที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุงอย่างเป็นระบบ ทำให้ความไม่พอใจและเงื่อนไขของความขัดแย้งยังคงอยู่
.
ดังนั้นบทเรียนสำหรับอนาคตอันใกล้ ที่พอจะมองเห็นภาพลาง ๆ คือการสร้างความต่อเนื่องของกระบวนการสันติภาพ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะภาคประชาสังคม ผู้นำศาสนา และชุมชน ซึ่งจะช่วยให้ข้อตกลงต่าง ๆ มีโอกาสปฏิบัติได้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะข้อตกลงที่มีผลผูกพันในระยะยาว ข้อตกลงแบบชั่วคราว เช่น รอมฎอนสันติสุข ควรถูกยกระดับไปสู่ข้อตกลงที่มีผลผูกพันระยะยาวมากขึ้น เช่น การกำหนดโซนปลอดภัย การลดกำลังพล หรือมาตรการคุ้มครองพลเรือนในพื้นที่ขัดแย้ง
.
รอมฎอนสันติสุขอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของกระบวนการสันติภาพ แต่เป็นตัวอย่างของความพยายามที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้จริง อย่างไรก็ตาม การไม่มีข้อตกลงในปี 2568 ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการนี้ยังขาดความต่อเนื่องและการสนับสนุนในระดับนโยบาย หากรัฐบาลไทยต้องการให้สันติภาพเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ควรปรับแนวทางจากการเน้นความมั่นคงไปสู่การเจรจาที่มีความจริงใจ พร้อมทั้งสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าสันติภาพเป็นเป้าหมายที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง มิใช่เพียงเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ชั่วคราวเท่านั้น

.
กองบรรณาธิการ The Motive