
สันติภาพในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ยังคงมองไม่เห็นทางออก หรือที่ชอบพูดกันว่า “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” เพราะปัญหาคือรัฐกลับทำไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ตัวเองกำลังหลงอยู่กับที่ เดินวนอยู่ในอ่าง และไม่ยอมรับที่จะแก้รากเหง้าของปัญหาที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งที่รุนแรง บวกกับการเมืองส่วนกลางแบบรัฐรวมศูนย์ ผู้นำรัฐบาลที่ไม่ใช่ตัวจริง ไม่ได้มีอำนาจในการจัดวางโครงสร้าง ควบคุมหน่วยงานความมั่นคง และตำแหน่งผู้ที่จะดำเนินงานกระบวนการสันติภาพ ที่ไม่ใช่เพียงแค่โต๊ะเจรจา
มีการนำเสนอแนวคิดค้นผลงานเก่า ๆ ของรัฐบาลในอดีต อย่างการที่จะปัดฝุ่นนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ เมื่อปี 2523 หรือ “คำสั่ง 66/23” ในการจัดการปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ โดยเน้นไปที่ “การเมืองนำการทหาร” การให้โอกาสผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการติดอาวุธกลับคืนสู่สังคม อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผลลัพธ์แตกต่างจากกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)
รหัสลับ 66/23 มีความสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไม่ใช่เพียงแค่ในพื้นทีปาตานี 66/23 คือบทเรียนสำคัญการต่อสู้ของประชาชนทั้งประเทศไทย บทความชิ้นนี้ผมจะขออนุญาตพาทุกฅนไปรู้จักสาระสำคัญ กับคำสั่งนี้ ซึ่งสร้างจุดเปลี่ยนยุติสงครามสู้รบในชนบทจะถูกนำมาใช้ได้หรือไม่ในปัจจุบัน ซึ่งบริบทในยุคนี้ก็แตกต่างไปอย่างมาก และองค์ประธานสร้างความปรองดองก็ถูกตั้งคำถามเพราะเป็นตัวหลักของความขัดแย้ง
.
ถอดรหัสเนื้อหาหลักในคำสั่ง 66/23
1. รัฐบาลมีเจตนารมณ์ในการเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
2. กองทัพมีบทบาท และหน้าที่สำคัญในการป้องกันประเทศและรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3. รัฐบาลถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญ และเร่งด่วนในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์อันเป็นสาเหตุสำคัญยิ่งในการบั่นทอนความมั่นคงของชาติ
4. การต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการรุกทางการเมือง เพื่อลิดรอนทำลายขบวนการแนวร่วมและกองกำลังติดอาวุธเพื่อยุติสถานการณ์ปฏิวัติ พร้อมกับการขยายผลเพื่อเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธมาเป็นการการต่อสู้ในแนวทางสันติ
5. การข่าว การจิตวิทยา ประชาสัมพันธ์ เป็นมาตรการอันสำคัญและให้ดำเนินการในลักษณะเชิงรุกอย่างมีแผนและสอดคล้องกับการปฏิบัติทุกขั้นตอน
6. กอ.รมน.เป็นกองอำนวยการเฉพาะกิจ ในการประสานงานของกระทรวง ทบวง กรม และองค์การที่เกี่ยวข้อง
7. สนับสนุนงบประมาณในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ให้ถือว่ามีความเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ
.
เปรียบเทียบนโยบาย 66/23 ต่อ พรรคคอมมิวนิสต์ (พคท.) และแนวทางรัฐไทยต่อ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN)
– แนวทางหลักรัฐไทย
ต่อ พคท. : นิรโทษกรรม เปิดทางให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
ต่อ BRN : กระบวนการเจรจา ให้นิรโทษกรรมบางกลุ่ม
– โครงสร้างขบวนการ
พคท. : เป็นองค์กรเดียว มีลำดับชั้นชัดเจน
BRN : มีหลายฝ่าย บริหารเอกเทศ ไม่ได้เป็นเอกภาพ
– อุดมการณ์
พคท. : อิงลัทธิคอมมิวนิสต์ – มาร์กซิสต์
BRN : อิงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มลายู และศาสนาอิสลาม
– แรงสนับสนุนจากภายนอก
พคท. : มีแรงหนุนจากจีน – โซเวียตหลังสงครามเย็น
BRN : มีแรงหนุนบางประเทศในสหภาพยุโรป และ INGOs
– ปัจจัยพื้นที่และประชากร
พคท. : พื้นที่ป่าภูเขา กระจายตัวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
BRN : ชุมชนแน่นแฟ้น มีฐานมวลชนที่เชื่อมโยงกัน
– เป้าหมายของขบวนการ
พคท. : ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างรัฐไทยเป็นคอมมิวนิสต์หรือสาธารณรัฐประชาชน
BRN : ต้องการเอกราชหรือการปกครองตนเองของปาตานี
.
ผลกระทบที่จะเกิดของแนวทาง 66/23 ในยุคของทักษิณอยู่เบื้องหลัง ต่อสถานการณ์ความไม่สงบปาตานี
ผลกระทบต่อรัฐไทย
นโยบายการเมืองนำการทหารช่วยลดความรุนแรงบางส่วน นโยบายนี้อาจช่วยลดการใช้กำลัง เช่น พื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) และมาตรการนิรโทษกรรม ทำให้บางกลุ่มยอมวางอาวุธ แต่ก็คงยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนเหมือน 66/23 และยังไม่มีมาตรการที่ครอบคลุม เช่น การรับรองสิทธิทางการเมือง หรือแผนพัฒนาพื้นที่ที่ได้รับความไว้วางใจระดับสูงจากประชาชน ในด้านการเมืองระดับประเทศผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกระบวนการสันติภาพ คือการเสถียรภาพทางการเมือง การเปลี่ยนรัฐบาลและความไม่ต่อเนื่องของนโยบายส่งผลให้การเจรจาไม่ราบรื่น โต๊ะเจรจาพร้อมที่จะถูกโค้นหักทุกเมื่อ
.
ผลกระทบต่อขบวนการ BRN
นโยบายการเมืองนำการทหารอาจดึงแนวร่วมของขบวนการบางส่วนออกจากขบวนการ การเจรจาและมาตรการนิรโทษกรรมทำให้บางคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้เดินออกจากขบวนการ แต่ถึงอย่างไรฝ่าย BRN ยังไม่ยอมรับแนวนโยบาย 66/23 นี้ เพราะเป้าหมายหลักของ BRN คือ “เอกราช” ซึ่งแตกต่างจากการกลับคืนสู่สังคมแบบที่รัฐไทยต้องการภายใต้วาทกรรม “ร่วมพัฒนาชาติไทย” นโยบาย 66/23 อาจทำให้ BRN แบ่งเป็นหลายกลุ่ม บางกลุ่มที่ต้องการสันติอาจแยกตัว แต่กลุ่มแข็งกร้าวอาจยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และนี่คือเป้าหมายหนึ่งของนโยบายคือการทำลายโครงสร้าง และลิดรอนการต่อสู้ของศัตรู
.
ภาพอนาคตแนวโน้มที่ควรจะเกิด
หากรัฐไทยพัฒนาแนวทางให้ชัดเจนขึ้น เช่น ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นเกี่ยวกับการปกครองตนเอง (เช่น ระบบพิเศษคล้ายฮ่องกง หรือ อาเจะห์ ในอินโดนีเซีย หรือ บังซาโมโร ในฟิลิปปินส์) อาจทำให้การเจรจาเดินหน้าและสันติภาพมีความหวังมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ารัฐไทย หรือ นายทักษิณ ใช้แนวทางยังคงใช้แค่กลยุทธ์นิรโทษกรรมหรือพยายามดึงแนวร่วมออกมาแบบแยกส่วน หรือ “แยกปลาออกจากน้ำ” โดยไม่แก้ปัญหาโครงสร้างทางการเมือง ไม่ได้แก้ที่รากเหง้าของปัญหา BRN อาจยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในหมู่มวลชน
แนวทางนโยบาย 66/23 สามารถช่วยลดความรุนแรงในบางระดับได้ แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะถึงอย่างไรขบวนการที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งอาจได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่มากกว่าที่ พคท. เคยได้รับในอดีต สันติภาพที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ปาตานีเสียงของประชาชนต้องดังกว่าเสียงระเบิด และเสียงของประชาชนต้องสามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ในอนาคต เพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน
.
เรียบเรียง : มูฮาหมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ