
ความหวังของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เริ่มเลือนราง เมื่อกลเกมในรัฐสภา สส.พรรคร่วมรัฐบาล เดินออกจากห้องประชุม และไม่ยอมเสียบบัตรแสดงตน ทั้งวันที่ 13 และ 14 กุมภาพันธ์ 68 ที่ผ่านมา ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม จนไม่สามารถดำเนินการประชุมต่อไปได้ ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องสั่งปิดการประชุม
การประชุมสภาทั้งสองวัน วันที่ 13 และ 14 ก.พ. ที่ผ่าน มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ฅนใดแสดงตนเข้ารวมประชุม และไม่แสดงตนเข้าประชุมบ้าง
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 68 มีผู้ที่แสดงตนเพียง 4 ฅน
สส.พรรคประชาชาติ แสดงตนเพียง 2 ฅน คือ นายวัน วันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานสภา และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
สส.พรรคประชาธิปัตย์ 1 ฅน นายยูนัยดี วาบา ปัตตานี เขต 4
และ สส.พรรคประชาชน 1 ฅน นายรอมฎอน ปันจอร์
.
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 68 มีผู้ที่แสดงตนเพียง 2 ฅน
สส.พรรคประชาชาติ แสดงตนเพียง 1 ฅน คือ นายวัน วันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานสภา
และ สส.พรรคประชาชน 1 ฅน นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ
.
หลังจากที่ สส.จากพรรคร่วมรัฐบาลไม่แสดงตน ทางพรรคประชาชาติประกาศจุดยืนในการเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านการโพสต์เพจเฟสบุ๊ค โดยยืนยันว่าไม่ควรมีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 เนื่องจากพรรคประชาชาติถือเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ในภาคใต้ตอนล่าง ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งมีการทำประชามติที่แนบบทเฉพาะกาลหลายมาตรา ส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปได้ยาก เพราะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 67 เสียง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมา ซึ่งยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากขึ้น การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว. ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ อาจทำให้ร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับไม่ได้รับการพิจารณา
.
การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเป็นเรื่องสำคัญต่อการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนสำหรับพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ในประเด็นการปรับปรุงระบบยุติธรรมให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น การเพิ่มสิทธิเสรีภาพทางอัตลักษณ์วัฒนธรรมและศาสนา รวมไปถึงการมีพื้นที่ในการแสดงออกทางการเมือง พื้นที่ทางการเมืองที่ปลอดภัย โดยเฉพาะรูปแบบการเมืองการปกครองที่เหมาะสำหรับพื้นที่ ที่จะช่วยความขัดแย้งที่รุนแรงได้อย่างยั่งยืน
ทางสมัชชาคนจน ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญคนจน ได้กำหนดหมวดสันติภาพชายแดนใต้ เป็นหนึ่งวาระที่ผลักดัน ได้ร่างเสนอให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาภายใน 6 ปี โดยมีองค์กรอิสระที่ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมคัดเลือก และมีอำนาจในการดำเนินการในมาตรการต่างๆ ที่สำคัญเช่น
- การแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ภายใต้กลไกและอำนาจทางการทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนที่ผ่านการเลือกตั้งหรือรัฐสภา มิใช่อยู่ในการควบคุมและกำกับดูแลของกองทัพดังเช่นปัจจุบัน
- ต้องส่งเสริมให้เกิดสันติภาพที่แท้จริงในพื้นที่ เช่นการกำหนดให้ใช้การเจรจาอย่างสันติ การให้หน่วยงานรัฐยุติการติดอาวุธพลเรือนซึ่งจะทำให้ความรุนแรงไม่มีที่สิ้นสุด
- ห้ามมิให้ใช้กฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของรัฐในลักษณะที่เหนือกว่าหรือขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญว่าด้วยความมั่นคงของประชาชน
- ต้องให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในทุกด้าน ด้วยการจำกัดการใช้กฎหมายพิเศษ
- ต้องรับรองสิทธิและเสรีภาพในการสื่อสารและการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน
- มีการกระจายอำนาจในการบริหาร การปกครอง และการจัดการตนเองในระดับต่างๆ บนฐานของแนวคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยและรูปแบบของรัฐที่มีความแยกย่อยและยืดหยุ่นเพียงพอที่จะโอบรับความหลากหลายทางศาสนา ชาติพันธุ์ และความเห็นต่างทางการเมือง
- คุ้มครองดูแลให้คนทุกกลุ่มได้รับการดูแลจากรัฐในด้านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และสวัสดิการต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่เว้นแม้แต่ผู้เห็นต่างจากรัฐ
.
แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่ในพื้นที่คือการทับซ้อนของอำนาจรัฐด้วยกันเองอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ยังคงเดินนำและมีอำนาจมากกว่าฝ่ายการเมือง และ ฝ่ายปกครอง แม้จะการแก้ไขกฎหมาย หรือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ คำถามที่ต้องถามรัฐไทย หรือ ฝ่ายความมั่นคงไทย คือ
รัฐไทยพร้อมจะยอมรับ “การเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง” แค่ไหน?
ทหารและฝ่ายความมั่นคงจะยอมให้มีการลดอำนาจของกฎหมายพิเศษหรือไม่?
พรรคการเมืองหลักที่ได้คะแนนเสียงในพื้นที่มากที่สุด และพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้หรือไม่?
การแก้รัฐธรรมนูญคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ ถ้าไม่มีการแก้ไขโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ก็ยากที่สันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในปาตานี